
คำอธิบายและความหมายของเครื่องหมายการค้า : MECCONITSYS
ที่มาของเครื่องหมายการค้า :
MECCONITSYS (เมค-คอน-นิท-ซิส) เป็นคำเฉพาะที่ถูกคิดและประดิษฐ์คำโดยการผสมผสานมาจากคำศัพท์ต่าง ๆ มาเพื่อให้เกิดเป็นคำใหม่ที่มีความหมายเฉพาะด้าน เพื่อใช้เป็นหลักการในการดำเนินธุรกิจทั้งการตลาดและงานวิศวกรรม ซึ่งการประดิษฐ์คำและออกแบบเครื่องหมายโดย คุณ สมโภช เวียงคำ วิศวกรเมคคาทรอนิกส์ วิศวกรความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสิ่งแวดล้อม ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านออกแบบติดตั้งและความปลอดภัยของเครื่องจักรกลอัตโนมัติ ตลอดจนงานระบบเชื่อมต่อที่เกี่ยวข้องกับงานระบบควบคุมอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม มีความคิดที่ว่าคำศัพท์ที่มีการใช้กันมานาน ซึ่งนิยมใช้คำว่า MECHATRONICS ที่เป็นคำที่ถูกออกแบบคิดคำและใช้เป็นเครื่องหมายการค้าโดย Mr.Tetsuro Mori [1] วิศวกรจากบริษัท Yaskawa Electric Corporation. ในปี คศ. 1971
The word mechatronics originated in Japanese-English and was created by Tetsuro Mori, an engineer of Yaskawa Electric Corporation. The word mechatronics was registered as trademark by the company in Japan with the registration number of “46-32714” in 1971. The company later released the right to use the word to the public, and the word began being used globally. Currently the word is translated into many languages and is considered an essential term for advanced automated industry.[1]
จะเห็นได้ว่าเป็นเวลามากกว่า 45 ปี แล้ว ที่มีการใช้คำว่า MECHATRONICS ที่ถูกใช้ทั้งในภาคการออกแบบทางวิศวกรรม ภาคการผลิต ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษาเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน แต่จากประสบการณ์การทำงานและประสบการณ์ฝึกอบรมให้กับทั้งภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษาของ คุณ สมโภช เวียงคำ ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปี ได้มีแนวคิดและมองเห็นวิวัฒนาการของเทคนิค รูปแบบ วิธี และเทคโนโลยีที่ใช้ในเครื่องจักรกลอัตโนมัติ ตลอดจนงานระบบเชื่อมต่อที่เกี่ยวข้องกับงานระบบควบคุมอัตโนมัติและหุ่นยนต์อุตสาหกรรม ได้มีการพัฒนาและใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัยไปมากกว่าเดิม
ซึ่งในอนาคตการผลิตจะไม่ใช่แค่เพียงตัวเครื่องจักรกลเพียงอย่างเดียวเท่านั้น (Stand Alone) แต่ยังต้องมีการออกแบบให้สามารถทำงานเข้าร่วมเป็นระบบ (System Integrated) กับอุปกรณ์ หรือเครื่องจักรกลอื่น ๆ ทั้งยังต้องมีการเชื่อมต่อเข้ากับระบบเครือข่าย (Network) และใช้เทคโนโลยีสารสนเทศในการส่งข้อมูล (Information Technology : IT) ตลอดจนมีการเพิ่มมุมมองและแนวคิดทางด้านความปลอดภัยและอาชีวอนามัย (Safety and Occupational health) เข้ามาใช้ในการออกแบบสร้างเครื่องจักรกลและระบบการผลิตแบบอัตโนมัติ
[1] https://en.wikipedia.org/wiki/Mechatronics
เครื่องจักรกลในงานอุตสาหกรรมแห่งอนาคต
การเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมโลกในศตวรรษที่ 21 เกิดจากการผสานระหว่าง วิศวกรรมเครื่องกล และ เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งทำให้เครื่องจักรไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือผลิตเชิงกลอีกต่อไป แต่กลายเป็น ระบบอัจฉริยะ (Smart Machinery) ที่สามารถสื่อสาร วิเคราะห์ และตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง เครื่องจักรกลในงานอุตสาหกรรมยุคอนาคตถูกกำหนดทิศทางโดยความก้าวหน้าของเทคโนโลยีทั้งทางด้านวิศวกรรมเครื่องกล ระบบควบคุม เครือข่ายสารสนเทศ การบูรณาการระบบ และมาตรฐานความปลอดภัย โดยมุ่งเน้นการสร้างระบบการผลิตที่มีความยืดหยุ่น ประสิทธิภาพสูง และยั่งยืน บทความนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มสำคัญ 6 ด้าน ได้แก่ Mechanical, Control System, Network System, Information Technology, System Integrator และ Safety of Machinery ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของอุตสาหกรรม 4.0 และเป็นปัจจัยขับเคลื่อนอุตสาหกรรม 5.0 ในอนาคต
ในบริบทสากล การออกแบบเชิงกล (Mechanical Design) ไม่ได้เน้นแค่ความแข็งแรงหรือความทนทาน แต่ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานด้าน Ergonomics และ Eco-design เช่น การลดการใช้พลังงาน และความสามารถในการรีไซเคิลเพื่อตอบสนองกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมของยุโรป (EU Ecodesign Directive) รวมถึงมาตรฐาน JIS ของญี่ปุ่น และ ANSI ของสหรัฐอเมริกา เครื่องจักรที่ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพเชิงกลและความยั่งยืน จึงมีโอกาสสูงที่จะได้รับการยอมรับในตลาดเหล่านี้
อุตสาหกรรมการผลิตเครื่องจักรกลกำลังเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคใหม่ที่ไม่ได้มุ่งเน้นเพียงประสิทธิภาพและความปลอดภัยเท่านั้น แต่ยังต้องตอบสนองต่อความต้องการด้าน ความยั่งยืน (Sustainability) และ การพัฒนาที่รับผิดชอบต่อสังคม ตามกรอบ Sustainable Development Goals (SDGs) ของสหประชาชาติ ความท้าทายนี้มีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อพิจารณาการเข้าสู่ตลาดหลักระดับโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป ซึ่งไม่เพียงกำหนดมาตรฐานทางเทคนิคที่เข้มงวด แต่ยังรวมถึงข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม ความปลอดภัย และการพัฒนาอย่างยั่งยืน

รูปภาพ : แสดงเป้าหมาย SDGs มีทั้งหมด 17 เป้าหมาย ที่มา : https://www.sdgmove.com/2017/06/01/goals/
การพัฒนาเครื่องจักรเพื่อให้ได้รับการยอมรับในระดับสากล จึงต้องอาศัยองค์ความรู้ที่ผสานกันอย่างรอบด้านใน 6 ด้านหลัก ได้แก่ Mechanical, Control System, Network System, Information Technology, System Integration และ Safety of Machinery บทความนี้มุ่งอธิบายบทบาทของแต่ละด้านในบริบทของ SDGs และการสร้างความยอมรับในตลาดโลก
- Mechanical
พื้นฐานของเครื่องจักรยังคงอยู่ที่ระบบกลไก แต่ในอนาคตการออกแบบจะมุ่งเน้นที่ วัสดุขั้นสูง (Advanced Materials) ที่แข็งแรง ทนทาน และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการนำ หุ่นยนต์อุตสาหกรรม และ Cobot (Collaborative Robot) เข้ามาใช้ในกระบวนการผลิต เพื่อเพิ่มความแม่นยำและรองรับการผลิตที่เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
แม้เทคโนโลยีดิจิทัลจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้น แต่พื้นฐานของเครื่องจักรยังคงตั้งอยู่บนศาสตร์ด้าน กลไก (Mechanical) การเรียนรู้ที่จำเป็นจึงครอบคลุมตั้งแต่ความรู้พื้นฐานทางวิศวกรรมเครื่องกล การใช้วัสดุใหม่ ๆ เช่น โลหะเบา วัสดุผสม และโพลิเมอร์ขั้นสูง ไปจนถึงการออกแบบระบบที่ประหยัดพลังงานและยั่งยืน ทักษะด้านการใช้ Computer-Aided Design (CAD) และ Computer-Aided Engineering (CAE) เป็นสิ่งจำเป็น นอกจากนี้ยังต้องเรียนรู้การทำงานร่วมกับหุ่นยนต์อุตสาหกรรมและแขนกลที่สามารถปรับเปลี่ยนกระบวนการผลิตได้อย่างยืดหยุ่น
ในบริบทสากล การออกแบบเชิงกล (Mechanical Design) ไม่ได้เน้นแค่ความแข็งแรงหรือความทนทาน แต่ต้องสอดคล้องกับมาตรฐานด้าน Ergonomics และ Eco-design เช่น การลดการใช้พลังงาน และความสามารถในการรีไซเคิลเพื่อตอบสนองกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมของยุโรป (EU Ecodesign Directive) รวมถึงมาตรฐาน JIS ของญี่ปุ่น และ ANSI ของสหรัฐอเมริกา เครื่องจักรที่ถูกออกแบบโดยคำนึงถึงประสิทธิภาพเชิงกลและความยั่งยืน จึงมีโอกาสสูงที่จะได้รับการยอมรับในตลาดเหล่านี้
ความทนทานและการออกแบบที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้านเครื่องกลเป็นรากฐานของเครื่องจักรกล โดยมีความเชื่อมโยงโดยตรงกับ SDG 9 (Industry, Innovation and Infrastructure) และ SDG 12 (Responsible Consumption and Production) การออกแบบเชิงกลในอนาคตจะไม่เน้นเพียงความแข็งแรง แต่ต้องคำนึงถึง วงจรชีวิตของเครื่องจักร (Life Cycle Assessment: LCA) เพื่อให้แน่ใจว่าการใช้วัสดุ กระบวนการผลิต และการกำจัดหลังหมดอายุการใช้งานส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
ในยุโรป มาตรฐาน Ecodesign Directive ถูกใช้เพื่อกำหนดกรอบการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมายความว่าเครื่องจักรที่จะจำหน่ายต้องสามารถพิสูจน์ได้ว่ามีการใช้พลังงานและทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกัน ตลาดญี่ปุ่นมีการเน้นการพัฒนาเครื่องจักรที่ ประหยัดพื้นที่และพลังงาน เพื่อตอบสนองต่อข้อจำกัดด้านทรัพยากรของประเทศ ส่วนตลาดสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญต่อ มาตรฐานคุณภาพและการปฏิบัติตามกฎระเบียบสิ่งแวดล้อมของ EPA
ดังนั้น การออกแบบเชิงกลที่ผสมผสาน ความแข็งแรง ความทนทาน และ Eco-design จึงเป็นหัวใจในการสร้างความยอมรับในตลาดสากล
- Control System
ระบบควบคุม (Control System) จะพัฒนาไปสู่ ระบบควบคุมอัตโนมัติอัจฉริยะ ที่ใช้ AI, Machine Learning และ Digital Twin เพื่อวิเคราะห์และปรับค่าการทำงานแบบเรียลไทม์ ลดการพึ่งพามนุษย์ในการกำกับ ทำให้เครื่องจักรสามารถคาดการณ์ความผิดปกติ และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้ด้วยตัวเอง
ระบบควบคุม (Control System) เป็นหัวใจของเครื่องจักรสมัยใหม่ การพัฒนาไปสู่ระบบควบคุมแบบดิจิทัล ทำให้บุคลากรต้องเข้าใจทั้ง Programmable Logic Controller (PLC), Distributed Control System (DCS) และ Human-Machine Interface (HMI) รวมถึงการประยุกต์ใช้ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning ในการควบคุมเชิงคาดการณ์ (Predictive Control) อีกทั้งการเรียนรู้เกี่ยวกับ มาตรฐานด้าน Functional Safety เช่น ISO 13849-1, IEC 61508 จึงเป็นสิ่งสำคัญ เนื่องจากการควบคุมไม่ได้หมายถึงประสิทธิภาพเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงการป้องกันความเสี่ยงต่อผู้ใช้งานและกระบวนการผลิตด้วย
ตลาดญี่ปุ่นและยุโรปให้ความสำคัญสูงต่อ ระบบควบคุมที่ปลอดภัยและแม่นยำ ซึ่งต้องสอดคล้องกับมาตรฐาน เช่น IEC 61508 (Functional Safety) และ ISO 13849-1 (Safety of Control Systems) ในสหรัฐอเมริกา การรับรองจาก UL (Underwriters Laboratories) และการปฏิบัติตามมาตรฐาน NFPA 79: Electrical Standard for Industrial Machinery เป็นข้อบังคับ การออกแบบระบบควบคุมที่มีการประเมินความเสี่ยง (Risk Assessment) และพิสูจน์ได้ว่าปลอดภัย จึงเป็นเงื่อนไขสำคัญในการเข้าสู่ตลาดโลก
ระบบควบคุมอัตโนมัติที่ชาญฉลาดช่วยให้การผลิตมี ประสิทธิภาพสูงและลดของเสีย ซึ่งสนับสนุน การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน (SDG 8) การเรียนรู้การใช้ AI และ Digital Twin ในการควบคุมยังเป็นตัวอย่างของ นวัตกรรมทางอุตสาหกรรม (SDG 9) ซึ่งช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในระดับสากล
ระบบควบคุมถือเป็นสมองของเครื่องจักร เชื่อมโยงกับ SDG 8 (Decent Work and Economic Growth) และ SDG 9 การนำ AI, Machine Learning และ Digital Twin มาประยุกต์ใช้ช่วยให้เครื่องจักรสามารถทำงานด้วยประสิทธิภาพสูงสุด ลดของเสีย และปรับตัวตามสภาพการผลิตได้แบบ Real-time
ในยุโรป การปฏิบัติตาม IEC 61131 และ IEC 61499 เป็นข้อกำหนดที่สำคัญต่อการออกแบบระบบควบคุมที่ยืดหยุ่นและโปร่งใส ส่วนสหรัฐอเมริกามีแนวทางที่เน้น มาตรฐาน ISA และ NIST เพื่อความปลอดภัยและการบูรณาการอุตสาหกรรม ขณะที่ญี่ปุ่นใช้มาตรฐาน JIS และ Society 5.0 เป็นแนวทางในการบูรณาการระบบอัตโนมัติสู่ชีวิตและสังคม
การออกแบบระบบควบคุมที่ยืดหยุ่น ปลอดภัย และชาญฉลาด จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความสามารถในการแข่งขันระดับโลก และตอบสนองต่อเป้าหมาย การเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน
- Network System
เครื่องจักรในอนาคตจะเชื่อมต่อกันผ่าน เครือข่ายอุตสาหกรรม (Industrial Network System) โดยอาศัย IoT, 5G/6G และ Edge Computing เพื่อให้การสื่อสารรวดเร็ว ปลอดภัย และมีเสถียรภาพ ระบบนี้จะเป็นหัวใจสำคัญของ Smart Factory ที่เครื่องจักรสามารถแลกเปลี่ยนข้อมูล ประสานงาน และสั่งการกันเองได้อย่างอัตโนมัติ
เครื่องจักรในอนาคตไม่ได้ทำงานอย่างโดดเดี่ยว แต่เชื่อมโยงผ่านเครือข่ายที่ซับซ้อน (Industrial Network System) การเรียนรู้ที่สำคัญคือความเข้าใจเกี่ยวกับ Industrial Internet of Things (IIoT), โปรโตคอลการสื่อสารอุตสาหกรรม (เช่น OPC UA, Profinet, EtherCAT) รวมถึงการประยุกต์ใช้ 5G/6G และ Edge Computing เพื่อให้การสื่อสารมีความรวดเร็วและเสถียร นอกจากนี้ บุคลากรยังต้องมีทักษะด้าน Cybersecurity เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการโจมตีทางไซเบอร์ที่อาจส่งผลกระทบต่อความต่อเนื่องของกระบวนการผลิต
เครื่องจักรยุคใหม่ต้องเชื่อมโยงกับ เครือข่ายอุตสาหกรรม (Industrial Network Systems) เช่น EtherCAT, Profinet, CC-Link IE หรือ OPC UA ซึ่งภูมิภาคต่าง ๆ อาจมีการใช้งานที่นิยมแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ญี่ปุ่นนิยม CC-Link ซึ่งเป็นมาตรฐานที่พัฒนาภายในประเทศ ในขณะที่ยุโรปและอเมริกาใช้ Ethernet-based protocols เป็นหลัก ผู้ผลิตที่สามารถพัฒนาเครื่องจักรที่ “เปิดกว้าง” และรองรับหลายมาตรฐานการสื่อสาร จะได้รับการยอมรับในฐานะผู้ผลิตที่มีความยืดหยุ่นและรองรับสากล
ในยุค Industry 4.0 และ Society 5.0 เครือข่ายสื่อสารมีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของเครื่องจักร เชื่อมโยงกับ SDG 9 และ SDG 17 (Partnerships for the Goals) เทคโนโลยีอย่าง IIoT, 5G/6G, OPC UA และ EtherCAT ช่วยให้เครื่องจักรสื่อสารกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ เกิดเป็นระบบการผลิตที่โปร่งใส ยืดหยุ่น และตอบสนองได้ทันที
ในยุโรป การผลักดัน มาตรฐานการสื่อสารแบบเปิด (Open Standard) มีเป้าหมายเพื่อสร้าง Interoperability ระหว่างเครื่องจักรจากหลายประเทศ ขณะที่ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกามีการพัฒนามาตรฐานด้านเครือข่ายที่สนับสนุนการใช้ Cyber-Physical Systems (CPS)
ดังนั้น การพัฒนาเครื่องจักรที่สามารถ เชื่อมโยงกับเครือข่ายสากลได้อย่างปลอดภัย ไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต แต่ยังสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านนวัตกรรมอุตสาหกรรม
- Information Technology
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) จะทำให้การผลิตมีความโปร่งใสและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยอาศัย Big Data, Cloud Computing และ AI Analytics ข้อมูลที่ได้จากเครื่องจักรจะถูกนำมาวิเคราะห์เพื่อสร้าง การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance) ลดเวลาหยุดทำงาน (Downtime) และสนับสนุนการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ขององค์กร
เทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology) กลายเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดประสิทธิภาพการผลิต เนื่องจากเครื่องจักรยุคใหม่สร้างข้อมูลปริมาณมหาศาล (Big Data) การเรียนรู้จึงต้องครอบคลุมการใช้ Data Analytics, Cloud Computing, Artificial Intelligence (AI) และ Digital Twin เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ อีกทั้งยังต้องพัฒนาทักษะการจัดการข้อมูลเพื่อสนับสนุน Predictive Maintenance และการเพิ่มประสิทธิภาพคุณภาพการผลิต ความรู้ด้าน IT ไม่เพียงเป็นเครื่องมือเสริม แต่เป็นแกนกลางของการพัฒนากระบวนการผลิตที่โปร่งใสและยั่งยืน
ทั้งยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่นต่างผลักดัน Smart Factory และ Digital Manufacturing ดังนั้นเครื่องจักรที่ออกแบบให้รองรับ Big Data, Cloud Integration และ Predictive Maintenance จะมีความได้เปรียบในการแข่งขัน นอกจากนี้ ตลาดยุโรปยังเข้มงวดเรื่อง Cybersecurity ตามมาตรฐาน IEC 62443 และกฎเกณฑ์ด้าน GDPR ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ขณะที่ญี่ปุ่นและอเมริกาก็มีข้อกำหนดเรื่อง ข้อมูลและความโปร่งใสในซัพพลายเชน ดังนั้น ผู้ผลิตต้องพัฒนาทักษะ IT และการประมวลผลข้อมูลเชิงอุตสาหกรรมควบคู่กันไป
เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้สามารถ วิเคราะห์พลังงานที่ใช้ในเครื่องจักรแบบ Real-time และออกแบบการผลิตที่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับ SDG 7 (พลังงานสะอาด) และ SDG 13 (การรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ) นอกจากนี้ Predictive Maintenance ช่วยลด Downtime และยืดอายุการใช้งานของเครื่องจักร ส่งผลโดยตรงต่อการลดของเสียและการใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า
เทคโนโลยีสารสนเทศช่วยให้เกิด Data-driven Manufacturing ซึ่งมีความสำคัญต่อ SDG 7 (Affordable and Clean Energy) และ SDG 13 (Climate Action) การวิเคราะห์ข้อมูลพลังงานแบบ Real-time ช่วยลดการใช้พลังงานฟุ่มเฟือยและการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ในสหรัฐอเมริกา การบูรณาการ Big Data และ Cloud Computing ถูกใช้เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน ขณะที่ยุโรปเน้นการพัฒนามาตรฐานด้าน Cybersecurity (IEC 62443) และการใช้ Edge Computing เพื่อลดการใช้พลังงาน ญี่ปุ่นใช้การบูรณาการ IoT และ AI เพื่อสนับสนุนสังคมแห่งความยั่งยืนตามแนวคิด Society 5.0
การพัฒนาเครื่องจักรที่สามารถใช้ IT เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและเพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน จึงช่วยสร้างจุดขายสำคัญในตลาดโลก
- System Integrator
บทบาทของ System Integrator จะทวีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากระบบการผลิตสมัยใหม่ต้องบูรณาการทั้งกลไก ไฟฟ้า การควบคุม เครือข่าย และสารสนเทศเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อ ผู้ที่มีความสามารถด้านการบูรณาการระบบจะเป็นผู้กำหนดทิศทางการพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ และทำให้เกิด การทำงานร่วมกันของระบบ (Interoperability) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบูรณาการระบบ (System Integration) เป็นทักษะที่มีความสำคัญสูงในยุคที่เครื่องจักรมีความซับซ้อนและเชื่อมโยงหลายมิติ บุคลากรต้องมีความรู้ทั้งทางด้านกลไก ไฟฟ้า ระบบควบคุม เครือข่าย และสารสนเทศ เพื่อออกแบบและรวมระบบต่าง ๆ ให้ทำงานร่วมกันได้อย่างไร้รอยต่อ (Interoperability) มาตรฐานสากล เช่น IEC 62264 (Integration of Enterprise and Control Systems) เป็นแนวทางสำคัญที่ควรเรียนรู้ ผู้ปฏิบัติงานที่มีความสามารถในการบูรณาการระบบจะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อน Smart Factory และโรงงานดิจิทัลในอนาคต
ในมิติการค้าระหว่างประเทศ ความสามารถในการบูรณาการระบบ (System Integration) เป็นหนึ่งในปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นแก่ลูกค้า โดยเฉพาะผู้ซื้อจากญี่ปุ่นและยุโรปที่ให้ความสำคัญกับ ความเข้ากันได้ (Compatibility) และ มาตรฐานการเชื่อมต่อ (Interoperability) ระหว่างเครื่องจักรจากผู้ผลิตหลายราย หากเครื่องจักรถูกออกแบบให้สามารถทำงานร่วมกับระบบ ERP, MES และ SCADA ได้ตามมาตรฐาน IEC 62264 หรือ ISA-95 จะได้รับการยอมรับในฐานะที่เป็นโซลูชันที่รองรับการบูรณาการโรงงานอัจฉริยะ
บทบาทของ System Integrator มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการสร้างโรงงานอัจฉริยะ เชื่อมโยงกับ SDG 9 และ SDG 12 โดยการบูรณาการกลไก ไฟฟ้า เครือข่าย และสารสนเทศเข้าด้วยกัน เครื่องจักรสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้ผลิตที่มุ่งเน้นการผลิตที่มีประสิทธิภาพและลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ในยุโรป มาตรฐาน CE Marking กำหนดให้เครื่องจักรที่เข้าสู่ตลาดต้องผ่านการประเมินความสอดคล้องทั้งในด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม ขณะที่สหรัฐอเมริกาใช้ OSHA และ ANSI Standards ในการประเมินความปลอดภัย และญี่ปุ่นเน้นการบูรณาการตามแนวคิด Smart Factory
ดังนั้น System Integrator ไม่เพียงทำหน้าที่บูรณาการระบบเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวกลางสำคัญในการผลักดันการผลิตให้สอดคล้องกับมาตรฐานและความยั่งยืนระดับสากล
- Safety of Machinery
ความปลอดภัยของเครื่องจักร (Safety of Machinery) ยังคงเป็นแกนหลักในอุตสาหกรรมอนาคต ไม่เพียงแต่ด้าน ความปลอดภัยทางกายภาพ (Machine Safety) แม้ว่าเครื่องจักรในอนาคตจะมีความชาญฉลาดมากขึ้น แต่ความปลอดภัยยังคงเป็นประเด็นหลักที่ต้องให้ความสำคัญ การเรียนรู้ที่จำเป็นครอบคลุมทั้ง ความปลอดภัยทางกายภาพ (Physical Safety) เช่น การป้องกันการหนีบ การหยุดฉุกเฉิน (Emergency Stop) ระบบป้องกันอัตโนมัติ และ ความปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ซึ่งเกี่ยวข้องกับการปกป้องข้อมูลและการป้องกันการโจมตีทางไซเบอร์ มาตรฐานสำคัญที่ควรศึกษาได้แก่ ISO 12100, ISO 13849-1, IEC 61508 และ IEC 62443 การมีทักษะด้านความปลอดภัยจะไม่เพียงช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือและความยั่งยืนของระบบอุตสาหกรรม ประเด็นนี้ถือเป็น “หัวใจ” ของการได้รับการยอมรับในตลาดโลก:
- ยุโรป: ต้องปฏิบัติตาม Machinery Directive (2006/42/EC) และแสดง CE Marking
- สหรัฐอเมริกา: ต้องผ่านมาตรฐานความปลอดภัยจาก OSHA และได้รับการรับรองจาก UL
- ญี่ปุ่น: ใช้มาตรฐาน JIS B 9700 series และแนวทางจาก Industrial Safety and Health Law
ดังนั้นการเรียนรู้มาตรฐานสากล เช่น ISO 12100, ISO 13849-1, IEC 61508, IEC 62061 และ IEC 62443 จึงไม่เพียงแต่ช่วยปกป้องผู้ใช้งาน แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการได้รับอนุญาตให้จำหน่ายสินค้าในตลาดที่เข้มงวดเหล่านี้
ความปลอดภัยของเครื่องจักรเป็นปัจจัยหลักในการเข้าสู่ตลาดโลก เชื่อมโยงกับ SDG 3 (Good Health and Well-being) และ SDG 8 การปฏิบัติตามมาตรฐาน เช่น ISO 12100, ISO 13849-1, IEC 61508 และ IEC 62061 เป็นสิ่งจำเป็นในการรับรองความปลอดภัยทั้งต่อผู้ปฏิบัติงานและสิ่งแวดล้อม
ในสหภาพยุโรป กฎระเบียบด้าน Machinery Regulation 2023/1230 กำหนดให้ผู้ผลิตต้องแสดงหลักฐานความปลอดภัยของเครื่องจักร ขณะที่สหรัฐอเมริกาเน้นการตรวจสอบตาม OSHA และ ANSI ส่วนญี่ปุ่นมีกฎหมายแรงงานและความปลอดภัยที่กำหนดมาตรฐานเฉพาะสำหรับเครื่องจักรอุตสาหกรรม
การสร้างเครื่องจักรที่ปลอดภัยและผ่านการรับรองตามมาตรฐานสากล ไม่เพียงช่วยปกป้องแรงงาน แต่ยังสร้างความน่าเชื่อถือและการยอมรับในตลาดต่างประเทศ
บทสรุป
การสร้างเครื่องจักรเพื่อจำหน่ายในตลาด อเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป จำเป็นต้องอาศัยความรู้และทักษะใน 6 ด้านหลักที่ครอบคลุมทั้ง Mechanical, Control System, Network System, Information Technology, System Integrator และ Safety of Machinery โดยแต่ละภูมิภาคมีข้อกำหนดเฉพาะด้านมาตรฐานและกฎหมาย แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความคาดหวังในเรื่อง คุณภาพ ความปลอดภัย ความสามารถในการเชื่อมต่อ และความยั่งยืน
กล่าวได้ว่า “มาตรฐานคือภาษาสากลของอุตสาหกรรม” หากผู้ผลิตสามารถเรียนรู้และพัฒนาทักษะเพื่อออกแบบเครื่องจักรที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ก็จะสามารถสร้างความเชื่อมั่น และได้รับการยอมรับในตลาดที่มีการแข่งขันสูงทั่วโลกได้
การพัฒนาเครื่องจักรเพื่อจำหน่ายในตลาดอเมริกา ญี่ปุ่น และยุโรป จำเป็นต้องผสานทั้ง มาตรฐานสากลด้านความปลอดภัย คุณภาพ และสิ่งแวดล้อม เข้ากับ แนวคิดความยั่งยืนตาม SDGs ของสหประชาชาติ ทั้ง 6 ด้านทักษะ ได้แก่ Mechanical, Control System, Network System, Information Technology, System Integration และ Safety of Machinery ไม่ได้มีความสำคัญเพียงทางเทคนิค แต่เป็น กุญแจสู่การสร้างการยอมรับในตลาดโลก
เครื่องจักรกลในอนาคตจะไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการผลิต แต่จะเป็น ส่วนหนึ่งของการสร้างสังคมอุตสาหกรรมที่ยั่งยืน ซึ่งตอบสนองต่อเป้าหมาย SDGs โดยเฉพาะ SDG 3, 7, 8, 9, 12, 13 และ 17 ที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ พลังงานสะอาด การเติบโตทางเศรษฐกิจ โครงสร้างพื้นฐาน นวัตกรรม การบริโภคอย่างยั่งยืน และการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ดังนั้น ผู้ผลิตที่สามารถผสานองค์ความรู้เชิงเทคนิคเข้ากับ มาตรฐานสากลและความยั่งยืน จะสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน และมีส่วนร่วมในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมโลกไปสู่ อนาคตที่ปลอดภัยและยั่งยืน
จากที่มาในข้างต้น คุณสมโภช เวียงคำ จึงมีแนวคิดในการออกแบบคำศัพท์และคิดค้นคำ เพื่อให้สอดคล้องกับเทคโนโลยีในปัจจุบันและอนาคตที่อุตสาหกรรมจะก้าวสู่ระบบการผลิตด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง โดยใช้คำว่า MECCONITSYS มาเป็นคำในการจดเครื่องหมายการค้า ซึ่งเกิดจากคำศัพท์ 6 ตัว ดังต่อไปนี้
- Mechanical แปลว่า เครื่องกล หรือ โดยได้นำอักษร MEC มาใช้ในเครื่องหมาย และใช้อักษรสีแดง
- Control แปลว่า ระบบควบคุม โดยได้นำอักษร CO มาใช้ในเครื่องหมาย และใช้อักษรสีเทา
- Network System แปลว่า ระบบเครือข่าย โดยได้นำอักษร N มาใช้ในเครื่องหมาย และใช้อักษรสีน้ำเงิน
- Information Technology แปลว่า เครื่องกล โดยได้นำอักษร IT มาใช้ในเครื่องหมาย และใช้อักษรสีน้ำเงิน
- System Integrator แปลว่า ผู้เชื่อมต่อและรวมระบบ โดยได้นำอักษร SY มาใช้ในเครื่องหมาย และใช้อักษรสีดำ
- Safety แปลว่า ความปลอดภัย โดยได้นำอักษร S มาใช้ในเครื่องหมาย และใช้อักษรสีเขียว
จากอักษรที่เลือกมาจากคำศัพท์ทั้ง 6 คำแล้วนั้น คุณ สมโภช เวียงคำ ได้นำมารวมกันเพื่อออกแบบเป็นคำและเครื่องหมายการค้า MECCONITSYS โดยให้ออกเสียงการอ่านว่า เมค-คอน-นิท-ซิส อีกทั้งยังมีการออกแบบสัญลักษณ์จำนวน 5 สัญลักษณ์ ลงบนเครื่องหมายไว้ที่ใต้ข้อความเพื่อสื่อสารและแสดงความหมายถึงการทำงานทุกอย่างรวมกัน โดยมีคำอธิบายดังนี้

- สัญลักษณ์ขีดสีแดง 2 ขีด คือ เครื่องจักรกล หรือระบบเครื่องกล ที่เป็นรากฐานสำคัญของระบบ โดยการให้สัญลักษณ์ 2 ขีด คือที่มาจากการเปลี่ยนจากเทคโนโลยีเดิม (ขีดบน) สู่การใช้เทคโนโลยีใหม่ (ขีดล่าง)
- สัญลักษณ์ Leader Diagram สีเทา สื่อความหมายของการใช้ระบบควบคุมด้วย PLC ซึ่งเป็นตัวควบคุมที่นิยมใช้มากที่สุดในการออกแบบสร้างเครื่องจักรกลและระบบ
- สัญลักษณ์สัญญาณต่อเนื่องแบบไร้สาย (Wifi) สีน้ำเงิน สำหรับสัญลักษณ์นี้ผู้ออกแบบได้ใช้รวมกันระหว่าง Network System และ Information Technology โดยใช้การออกแบบให้คล้ายกับการปล่อยสัญญาณ Wifi
- สัญลักษณ์การเชื่อมต่อสีดำ ให้ความหมายถึงการติดติตั้งเชื่อมต่อหรือรวมระบบ โดยใช้การออกแบบให้คล้ายกับการเชื่อมต่อด้วยคอนเน็คเตอร์และอุปกรณ์หยิบจับที่ปลายแขนของหุ่นยนต์
- สัญลักษณ์กากบาทสีเขียว ให้ความหมายถึงสัญลักษณ์ความปลอดภัย ซึ่งเป็นที่คุ้นเคยหรือใช้งานกันภาคอุตสาหกรรมกัยอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ตระหนักถึงการทำงานที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นสำคัญ
สมโภช เวียงคำ
ผู้เขียนบทความ